
“ฝีดาษลิง ไม่ใช่ โรคเกย์” เพราะโรคระบาดไม่เคยเลือกเพศ และการตีตรา LGBTQ+ จะทำให้เรื่องนี้แย่ลง
ไม่นานมานี้ Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ได้ประกาศให้โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ และขอให้ยกระดับการยับยั้งการแพร่เชื้อให้เร็วที่สุด
แม้ Tedros ย้ำในประกาศของเขาว่า “ไม่ควรตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเพศเดียวกัน” แต่การที่เขาได้ระบุว่า “98% ของผู้ติดเชื้อที่อยู่ประเทศอื่น ๆ มาจากโรคประจำถิ่นได้เกิดขึ้นกับกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเพศเดียวกัน” พร้อมกล่าวเสริมอีกว่า “สำหรับชายรักเพศเดียวกัน ผมขอแนะนำให้ลดการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ซ้ำ และ อยากให้พิจารณาให้ดีก่อนร่วมนอนกับคู่นอนคนใหม่ ๆ”
คำกล่าวที่กำกวมถึงอัตลักษณ์เพศและการระบาดนี้ นำไปสู่การสร้างแนวคิดตีตราที่เกินหลักฐานความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐฯ กลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่าง Marjorie Taylor Green เริ่มตีตราเชิงเย้ยหยันต่อกลุ่มเกย์และไบเซ็กชวล ด้วยโรคระบาดนี้ว่า “โรคนี้เป็นโรคที่สร้างมาเพื่อแก้เกย์” ทางด้าน Muqtada al-Sadr นักบวชอิรักก็ชี้ว่า โรคฝีดาษลิงเป็นผลมาจากพฤติกรรมเพศเดียวกัน และขอให้กลุ่มคนรักเพศเดียวกัน “กลับใจใหม่”
ทั้งนี้ โรคฝีดาษลิง คือ โรคเกย์จริงๆ ? และเกย์มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อฝีดาษลิงเท่านั้นจริงหรือ ? ทางด้าน Gagandeep Kang นักระบาดวิทยาชื่อดังจาก Christian Medical College เมือง Vellore ประเทศอินเดีย แสดงข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า เกย์ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ ไวรัสฝีดาษลิงสามารถตรวจพบในน้ำอสุจิได้ แต่ก็มันไม่ใช่เป็นแค่โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเดียว โรคนี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางเดินหายใจและการสัมผัสผิวหนังต่อผิวหนัง ที่อาจนำไปสู่การแพร่เชื้อได้มากกว่า
นอกจากนี้ Kang ยังชี้ว่า “การตีตราเช่นนี้ จะนำไปสู่การลด และสร้างความล่าช้าในการเข้าถึงการดูแลผู้ป่วย เพราะสังคมจะผลักภาระ และมองว่า โรคนี้เป็นโรคของกลุ่มเกย์ และคนทั่วไปนั้นไม่เสี่ยง”
สิ่งที่น่าสนใจอีกด้าน จากรายงานโดย The Mint ชี้ให้เห็นว่าในชุมชนของผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย เริ่มมีพฤติกรรมการสนใจและดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งพวกเขามักจะไปยังคลินิกสุขภาพทางเพศเพื่อตรวจหาเชื้อ หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น จึงอาจดูเหมือนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น เริมและซิฟิลิส จึงทำให้กลุ่มเกย์ เข้าไปตรวจและอาจตรวจพบโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึงโรคฝีดาษลิง
ทั้งนี้โรคฝีดาษลิงนั้นเกิดขึ้นในหลายพื้นที่และเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เนื่องจากความสนใจในวงกว้างของสังคมก่อนหน้านี้ยังน้อย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมาตราการการตรวจหาเชื้อวงกว้างน้อยไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อโรคนี้กลับมาแพร่ระบาด ในขณะที่กลุ่มเกย์มีสนใจที่เข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศมากขึ้นนั้น ทำให้จำนวนผู้พบเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มดังกล่าว
มากไปกว่านั้น ในหลายประเทศก็ทำให้เราเห็นกว่า มาตราการการหยุดการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงในระยะแรกที่หลายประเทศดำเนินการ โดยเน้นจัดการเฉพาะกลุ่มเกย์นั้น ไม่เกิดผลมาก เพราะมาตราการนี้เน้นที่จะใช้ทรัพยาการในการตรวจหาเชื้อและลดจำนวนผู้ติดเชื้อไปกับเฉพาะกลุ่ม จนส่งผลให้กลุ่มอื่นๆ หรือคนทั่วไปในสังคมมองว่า โรคเหล่านี้เกิดขึ้นได้เฉพาะกลุ่มและยังคงเป็นเรื่องไกลตัว สุดท้ายการแพร่ระบาดก็เริ่มเกิดมากขึ้นในกลุ่มอื่นๆที่ไม่ระมัดระวังตัวนั่นเอง
แล้วคุณละมีความคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้ ? เราขอยืนหยัดต่อต้านการตีตราและขอให้ทุกท่าน ทุกเพศ ทุกคน ดูแลสุขภาพ
อ้างอิง:
– https://www.lgbtqnation.com/2022/07/monkeypox-not-gay-disease-painted-way-worldwide/
– https://www.youtube.com/watch?v=d9d8G3WpbCc&feature=emb_title
🔗Follow FB & IG & LI: @youngprideclub
#Youngprideclub #LGBT #loveislove #humanrights #equality #freedom #love #humanity #justice #feminism #peace #feminist #womensrights #lgbtq #equalrights #activism #lgbt #pride #news #democracy #rights #diversity #queer #Thailand #monkeypox #ฝีดาษลิง #เกย์