NEWS: มาเลเซียห้ามทรานส์แต่งกายเป็นหญิงเข้ามัสยิด กรอบจารีตที่กดทับความเท่าเทียมของ LGBTQ+

by | Oct 9, 2021 | Uncategorized

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐไทยได้จับกุม Nur Sajat Kamaruzzaman ผู้หญิงข้ามเพศชาวมาเลเซียและเจ้าของธุรกิจความงามที่ได้ลี้ภัยมาอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งเธอเคยถูกดำเนินคดีจากการแต่งกายเป็นหญิงเข้าประกอบพิธีทางศาสนาในปี 2018 จึงพยายามส่งตัวเธอกลับไปรับโทษที่ประเทศบ้านเกิด
.
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามถึงสิทธิและความปลอดภัยของคนข้ามเพศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความเคร่งในศาสนาและวัฒนธรรมอย่างมาเลเซีย ซึ่งผู้นำรัฐบาลและศาสนาได้พิจารณาในการห้ามคนข้ามเพศ หรือผู้ที่แสดงออกทางเพศไม่ตรงกับบรรทัดฐานทางสังคม เข้าประกอบพิธีในมัสยิด คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในปะลิส รัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย ในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
.
Datuk Ahmad Marzuk รองประธานาธิบดี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรมศาสนา ได้แสดงความคิดเห็นถึงการห้ามคนข้ามเพศเข้าร่วมพิธีทางศาสนาในปะลิสว่า “สิ่งที่เมืองปะลิสทำเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะการที่ผู้ชายสวมผ้าโพกศีรษะเข้าไปในมัสยิดเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม”
.
นอกจากนี้เขายังได้อ้างถึงผู้หญิงข้ามเพศที่แต่งกายไม่ตรงกับเพศโดยกำเนิด ซึ่งการที่ ‘เพศชาย’ เข้าไปในมัสยิดเพื่อ ‘สำนึกบาป’ เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่การที่ผู้หญิงข้ามเพศเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้หญิงในมัสยิดจะเป็นการรบกวนความสงบของผู้เข้าร่วมพิธี
.
ถึงแม้ว่า Marzuk จะยอมรับว่าหน่วยงานของเขาไม่ได้รับการรายงานว่ามีผู้พบเห็นผู้หญิงข้ามเพศเข้าไปในมัสยิด แต่เขาก็ต้องการส่งเสริมให้รัฐอื่น ๆ ทำตามปะลิส ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเคร่งครัด ด้าน Wan Salim Wan Mohd Noor ผู้นำศาสนาอิสลาม ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “รู้สึกเห็นใจคนกลุ่มนี้และหวังว่าพวกเธอจะได้รับการยอมรับในสังคมทั่วไป”
.
อย่างไรก็ตาม Noor ก็มีความเห็นคล้อยตาม Marzuk ที่มองว่าผู้หญิงข้ามเพศมักจะทำในสิ่งที่ตรงข้ามกฎของธรรมชาติและศาสนา “พวกเธอพยายามที่จะปรับตัวไปกับวัฒนธรรมและบรรทัดฐานทางสังคมทั่วไป” โดยการเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศจะเป็นเหตุให้พวกเธอต้องเจอกับสิ่งท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต “ทางการมัสยิดควรแนะนำคนกลุ่มนี้ให้มีความนอบน้อม ฉะนั้นพวกเธอสามารถแสดงความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาสนาสถานของอิสลามด้วยการแต่งกายที่เหมาะสม โดยจะไม่มีใครถูกมองว่าดูแปลกแยกในที่ตรงนั้นอีกต่อไป”
.
ก่อนหน้านี้ในปี 2018 Noor ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการเคลื่อนย้ายภาพบุคคล LGBTQ+ ออกจากนิทรรศการในรัฐปีนัง โดยเขาได้เปรียบเทียบกลุ่มความหลากหลายทางเพศเป็น ‘สัตว์’ “คนเหล่านั้นได้ออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของสัตว์ เพราะเสรีภาพของมนุษย์ต้องผูกพันกับศาสนาและวัฒนธรรม” นอกจากนี้เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการแสดงภาพ LGBTQ+ เป็นศิลปะที่เบี่ยงเบนและผิดศีลธรรม ที่จะนำมาซึ่งการล่มสลายของชนชาติ
.
จากความคิดเห็นการแต่งกายของคนข้ามเพศในมัสยิดของผู้นำรัฐและศาสนา ทำให้เกิดการตื่นตัวในคดีของ Nur Sajat ผู้หญิงข้ามเพศที่เคยแต่งกายเป็นหญิงเข้าร่วมพิธีในมัสยิด โดยก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ขึ้นศาลไปฟังคำตัดสิน และได้หลบหนีการจับกุม จนในที่สุดเธอได้ย้ายเข้ามาอยู่ประเทศไทยในฐานะผู้ลี้ภัยและอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเธอได้ลงทะเบียนกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในการติดตามการถูกยกเลิกพาสปอร์ตของเธอ และวางแผนที่จะลี้ภัยไปที่ประเทศออสเตรเลีย
.
หากทางการไทยส่งตัว Nur Sajat กลับมาเลเซีย เธออาจต้องติดคุกนานถึง 3 ปี ถ้าศาลพิจารณาว่าเธอมีความผิดเกี่ยวกับ‘การดูหมิ่นศาสนาอิสลาม’ ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายชะรีอะฮ์ โดยก่อนที่จะถูกจับกุมเธอได้แชร์บัญชีอินสตาแกรมตั้งแต่เปิดใช้งาน ที่เธอเคยได้รับคำสาปแช่งจากคนเกลียดกลัวคนข้ามเพศ เมื่อเธอประกาศว่าจะขอออกจากศาสนาอิสลาม
.
ถ้า Nur Sajat ได้รับโทษจริง นี่จะเป็นสิ่งเตือนภัยให้กับผู้หญิงข้ามเพศในรัฐอิสลาม ถึงการแสดงออกในรสนิยมทางเพศ ซึ่งไม่ตรงตามจารีตสังคมในศาสนสถาน ที่ยังเป็นอันตรายและถูกหวงห้ามไว้แค่การแสดงออกแบบคนรักต่างเพศเท่านั้น
.
อ้างอิง: https://www.them.us/story/malaysia-could-ban-trans-muslims-from-mosques
ภาพ: mohamed Hassan จาก Pixabay
Follow ข่าวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: https://youngprideclub.com/