ในยุคหนึ่ง ผู้มีเชื้อเอชไอวีมักถูกตีตราจากสังคม ทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก จนกระทั่งมีการให้ความรู้ในการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโดยไม่รู้สึกอึดอัด แต่ในปีที่ผ่านมาพบว่ามีจำนวนคนอเมริกันที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับตราบาปจากเชื้อเอชไอวีลดลง โดย GLAAD สื่อพันธมิตร LGBTQ+ ได้ทำงานวิจัยเรื่องตราบาปจากเชื้อเอชไอวี ปี 2021 โดยทดสอบกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด ท่ามกลางประชากรสหรัฐฯ การตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวีจากสื่อ รวมถึงผลกระทบจากกฎหมายอาญาเอชไอวี พบว่าคนอเมริกันมีความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวีลดลงจาก 51% ในปี 2020 มาอยู่ที่ 48% ในปีนี้
.
ยิ่งไปกว่านั้น มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (53%) รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับเชื้อเอชไอวี โดยสัดส่วนของประชากรที่มีอคติกับผู้ติดเชื้อมีความแตกต่างไปตามแต่ละภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ อย่างผู้คนที่อยู่ทางตอนใต้และตะวันตกของอเมริกามักจะมีอคติอย่างแรงกล้ากับบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่าผู้ที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันตก
.
ส่วนผลสำรวจ 44% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วประเทศ พบว่าพวกเขารู้สึกอึดอัดเมื่อต้องเข้ารับบริการกับช่างทำผมหรือช่างตัดผมที่ติดเชื้อเอชไอวี และ 35% เผยว่าการเรียนกับอาจารย์ผู้สอนที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ช่างน่าอึดอัดใจเป็นที่สุด
.
นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังขาดความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเชื้อเอชไอวีและการรักษา โดยมีเพียง 64% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับการใช้ยาต้านเชื้อเอชไอวี และมีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 42% เข้าใจว่าผู้ป่วยที่ได้รับยารักษาอย่างเหมาะสมจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นได้
.
ผลสำรวจยังพบว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม LGBTQ+ มีเปอร์เซนต์สูงกว่าในการซึมซับเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีทางสื่อ เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 56% จาก 52% ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยยืนยันว่าการเสพข่าวด้านบวกจะช่วยให้ผู้ป่วยต่อสู้กับเอชไอวีได้ แต่ Dr. Jonathan P. Higgins นักวิจัยด้านการสื่อสาร ได้สังเกตว่า สื่อมุ่งเน้นจนเกือบจะเป็นเรื่องบังคับและให้ความรู้สึกในด้านลบเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ไปลดทอนคุณค่าด้านสาธารณะสุข และพยามยามที่จะบั่นทอนกำลังใจของผู้ป่วยจากการตีตราในสังคม
.
อีกทั้ง Dr. Higgins ยังได้แนะนำว่าผู้ติดเชื้อควรมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวของตัวเอง “ผลวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่จะทำให้การถูกตีตราลดน้อยลงได้ โดยการนำเสนอแง่มุมการใช้ชีวิตและเติบโตของพวกเขาผ่านสื่อ” เขายังได้เขียนเพิ่มเติมในงานวิจัยนี้ว่า “ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีต้องการนำเสนอตัวตนทั้ง เชื้อชาติ เพศ และอัตลักษณ์ทางเพศ ที่จะทำให้รู้สึกถึงพลังในการบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา ซึ่งเป็นความจริงอันทรงพลังที่สังคมควรได้รับรู้
.
จากงานวิจัยของ Dr. Higgins ได้สร้างความรู้สึกร่วมของผู้ที่สนับสนุนผลการศึกษาของเขา โดย DaShawn Usher รองผู้อำนวยการด้านชุมชนของคนผิวสีจาก GLAAD ได้ให้ความเห็นว่า สื่อต้องแสดงความรับผิดชอบต่อ 1.2 ของคนอเมริกันที่ต้องอยู่กับเชื้อเอชไอวี ซึ่งพวกเขาไม่มีโอกาสได้ออกมาพูดหรือโต้แย้งใด ๆ ได้เลย
.
Dr. Higgins ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรื่องราวของพวกเขาทรงคุณค่าที่จะได้รับการบอกเล่า เราต้องคิดอย่างจริงจัง ถึงความตั้งใจจริงที่จะทำให้คนอเมริกันมีส่วนร่วมในทุก ๆ วัน ทั้ง ข้อเท็จจริง แหล่งข้อมูล และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเอชไอวี หากเราต้องการสิ้นสุดโรคระบาดนี้”
.
ขณะที่บางส่วนของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการพัฒนาชุดทดสอบที่สามารถระบุสถานะของผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ภายใน 20 นาที เช่นเดียวกับการพัฒนาวัคซีนเอชไอวีที่อ้างอิงมาจากการวิจัยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้อยู่ในช่วงของการทดลอง แต่ก็ทำยังคงมีผู้ที่อยู่กับตราบาปจากเชื้อเอชไอวีในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนใต้ยังคงมีอัตราการแพร่เชื้อที่สูงขึ้นอย่างไม่สมส่วน ซึ่งผู้สนับสนุนได้กล่าวว่าการให้ความรู้ และการกระจายแหล่งข้อมูลอย่างเท่าเทียมกันต้องเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เพื่อหยุดยั้งการแพร่เชื้อเอชไอวีได้ในที่สุด
อ้างอิง: https://www.them.us/story/glaad-hiv-stigma-study
ภาพจาก: Gustavo Fring จาก Pexels
Follow ข่าวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: https://youngprideclub.com/