เนื่องในเดือนแห่งวันแม่ เราอยากแบ่งปันเรื่องราวของ Katie Jenifer คุณแม่จากรัฐนอร์ทแคโรไลนา ตั้งแต่ที่เธอรู้ว่า Maddie ลูกสาวของเธอเป็นคนข้ามเพศเมื่อ 8 ปีก่อน หลังจากนั้นอีก 5 ปี เธอจึงได้ตัดสินใจลงทะเบียนเรียนด้านกฎหมายที่ North Carolina Central University’s law school จนได้รับปริญญาบัตร เพราะเธอรู้ดีว่าลูกสาวต้องการแรงสนับสนุนจากเธอ ซึ่ง Jenifer กล่าวว่า “ฉันคิดว่าลูกสาวภูมิใจในตัวฉัน… ฉันคิดว่าเธอรู้ว่าฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ”
.
ทั้งนี้ Jenifer รู้ดีว่าในอเมริกามีกฎหมายมากมายที่ต่อต้านสิทธิของคนข้ามเพศ โดย Maddie ถูกเลือกปฏิบัติจากสังคม เมื่อเธออายุได้ 5 ปี โดยในวันแรกที่เธอเข้าไปในโรงเรียน สื่อท้องถิ่นได้สัมภาษณ์ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนว่าคิดเห็นอย่างไรเมื่อลูกของพวกเขาต้องเข้าเรียนที่เดียวกับเด็กข้ามเพศ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธออยากเข้าศึกษาด้านกฎหมาย
.
เมื่อเธอเข้ามาเรียนที่ NCCU เธอพบว่ายังมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ House Bill 2 ในปี 2016 ซึ่งเป็นกฎหมายต่อต้านคนข้ามเพศ ไม่ให้ใช่ห้องน้ำหรือล็อกเกอร์ตามรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศของตัวเอง ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นที่สนใจในระดับชาติ ถึงการแผ่อิทธิพลแนวความคิดแบบอนุรักษ์นิยม “สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันอยากเรียนกฎหมาย คือความกลัวว่าใครบางคนจะไม่ชอบในสิ่งที่เราส่งเสริม Maddie และปิดกั้นสิทธิของเธอ… นี่คือสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุด และอยากรู้ว่าจะมีวิธีปกป้องเธอจากสิ่งที่สังคมรอบด้านปฏิบัติกับเราอย่างไรบ้าง?
.
ขณะที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกยกเลิกไปในปี 2017 Jenifer ก็ได้สำเร็จการศึกษาในเดือนพฤษภาคม ปี 2020 โดยเธอพยายามร่ำเรียนเพื่อให้ได้เป็นเนติบัณฑิตตลอดช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้เธอต้องเผชิญกับความกลัวจากการสนับสนุนร่างกฎหมายของพรรครีพับลิกันในเดือนตุลาคม ปี 2020 ที่กำหนดให้กระบวนการรักษา หรือให้บริการทางสุขภาพตามรสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ เช่น การรักษาด้วยฮอร์โมน การใช้ยายับยั้งการเจริญพันธุ์ หรือการผ่าตัดศัลยกรรม เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากเป็นการทารุณเด็ก
.
โดยกฎหมายนี้ถูกเสนอให้นำมาใช้ในรัฐเท็กซัส รัฐนิวแฮมป์เชียร์ และได้รับการพิจารณาอนุมัติใน รัฐอาร์คันซอ แต่ก็ถูกคณะกรรมาธิการในรัฐสภาระงับไว้ชั่วคราว เพราะกฎหมายนี้มีแนวโน้มกระทบกับเด็ก ซึ่ง Jenifer มีความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า “ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ควรจะถูกข่มขู่ด้วยการพรากลูกไปจากตัวเอง เพียงเพราะคุณสนับสนุนในสิ่งที่พวกเขาเป็น ซึ่งมันไร้เหตุผลสิ้นดี”
.
แม้ว่า Jenifer จะไม่ได้ทำงานเป็นนักกฎหมาย แต่เธอก็หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้ทำงานเกี่ยวกับการให้บริการสุขภาพของคนข้ามเพศ ขณะเดียวกันเธอได้เข้าทำงานที่ Conversion Therapy Dropout Network องค์กรที่ดูแลผู้ที่หยุดกระบวนการรักษาเกี่ยวกับเพศกลางคัน และเธอยังทำงานให้กับ Genderbands ชุมชนออนไลน์ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร โดยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้กับการรักษาเปลี่ยนเพศสำหรับผู้ปกครองที่มีลูกเป็นคนข้ามเพศ
.
นอกจากนี้เธอยังเป็นกระบอกเสียงในการต่อต้านร่างกฎหมายในนอร์ทแคโรไลนา โดยเป็นหนึ่งใน 30 รัฐ ที่มีร่างพระราชบัญญัติห้ามเด็กหรือผู้หญิงข้ามเพศ ร่วมเล่นกีฬาตามอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเอง ขณะที่ Human Rights Campaign (HRC) ได้รายงานว่ามีร่างกฎหมายทั้งหมด 6 ฉบับ ที่ประกาศใช้แล้วในปี 2021
.
สัญชาตญาณความเป็นแม่ ทำให้ Jenifer ลุกขึ้นสู้อย่างสุดกำลัง ซึ่งเธอได้สำรวจความรู้สึกของเด็กที่เป็นทรานส์รวมถึงพ่อแม่ของพวกเขา “ฉันอยากให้แน่ใจว่าทุกคนยังโอเค พวกเธอคือแม่ที่ดูแลลูกสาวที่เป็นเด็กข้ามเพศ ฉันแค่บีบมือพวกเธอเบา ๆ เมื่อต้องเจอกับสิ่งที่พวกเธอไม่อยากได้ยิน”
.
Maddie มักจะรู้สึกแย่กับนักกฎหมายที่เป็นคนเกลียดกลัวคนข้ามเพศ และเธอยินดีมาก ๆ ที่เธอจะสามารถสู้ให้ถึงที่สุด “มันเป็นสิ่งที่ยาก เวลาได้ยินใครมาบอกว่าเด็กข้ามเพศไม่ใช่ผู้ชายหรือผู้หญิงจริง ๆ รวมถึงการที่พวกเขาทำราวกับลูกของเราไม่มีตัวตนอยู่ด้วย” และ Jenifer ยังได้พูดถึงลูกสาวสุดที่รักของเธอว่า “เธอเป็นเด็กร่าเริง เธอบอกว่าเธอเหนื่อยหน่ายกับสายตาที่มองมาที่เธอ ฉะนั้นถ้าพวกเขาเข้าใจ นี่ก็เป็นแค่ใบหน้าของคนคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
.
จากร่างกฎหมายข้อนี้ Jenifer ยังมีความกังวลถึงผลกระทบอย่างไม่สมส่วนที่อาจเกิดกับคนข้ามเพศผิวสี โดยรายงานของ HRC เผยว่ามีผู้หญิงข้ามเพศอย่างน้อย 3 คนถูกฆาตกรรมในนอร์ทแคโรไลนาในปีนี้ โดย 2 ใน 3 เป็นคนผิวสี และคาดว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นคนเดียวกัน
.
ถึงอย่างไร Jenifer ก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อลูกสาวและเด็กข้ามเพศในทุก ๆ ที่ “มีคำแนะนำที่ดีมาก ๆ อย่างหนึ่งคือให้ทำตามในสิ่งที่ลูกต้องการ” สำหรับพ่อแม่ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะชี้นำลูกอย่างไรในวันที่พวกเขาเปิดเผยว่าเป็นคนข้ามเพศ “ถ้าลูกของคุณไม่อยากเปลี่ยนสรรพนาม ก็โอเค หรือถ้าลูกของคุณพยายามค้นหาสรรพนามใหม่ ๆ ที่เหมาะกับพวกเขาทุกสัปดาห์ ก็โอเคเช่นกัน… ฉันรู้ว่าพวกคุณกลัว แต่งานของเราคือทำให้ลูกมีความสุขที่สุด และชี้นำให้พวกเขาด้วยข้อมูลทั้งหมดตามทางเลือกที่พวกเขาต้องการ”
อ้างอิง: https://www.them.us/story/mom-became-lawyer-after-daughter-came-out-as-trans
ภาพจาก: https://www.thetaskforce.org/introducing-katie-jenifer/
Follow ข่าวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: https://youngprideclub.com/