Laurel Hubbard นักยกน้ำหนักจากประเทศนิวซีแลนด์ เป็นทรานสเจนเดอร์แบบเปิดเผยตัวตนคนแรกที่จะได้ร่วมแข่งขันใน Olympic Games แต่เธอกลับถูก Daily Mail เปิดเผยชื่อเก่าก่อนที่จะข้ามเพศ
.
ชีวิตของ Laurel เองก็ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับพวกเราส่วนใหญ่ และเส้นทางสู่โอลิมปิคที่กรุงโตเกียวในปีนี้เองก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลายด้วยเช่นกัน
.
Laurel เริ่มยกน้ำหนักตั้งแต่เป็นนักเรียน จนได้เป็นเยาวชนทีมชาติเมื่ออายุ 20 ปี แต่ในปี 2001 เมื่ออายุ 23 เธอก็หยุดยกน้ำหนัก เพราะไม่สามารถแบกรับทุกอย่างเอาไว้ได้ เธอรู้สึกกดดันที่ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เธอรู้สึกว่าไม่ได้สร้างมาเพื่อคนอย่างเธอ
.
แต่หลังจากที่ได้เปิดตัวว่าเป็นทรานสเจนเดอร์ในปี 2012 Laurel ก็กลับมายกน้ำหนักอีกครั้ง และลงแข่งขันในฐานะผู้หญิง เธอห่างหายไปนานเกือบ 10 ปี และเหลือเวลาอีกเพียง 5 ปีเท่านั้น ก่อนที่เธอสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ ในปี 2017
.
เธอชนะการแข่งขัน The Australian International & Australian Open ที่เมืองเมลเบิร์น และเป็นผู้หญิงข้ามเพศคนแรกจากประเทศนิวซีแลนด์ที่ชนะการแข่งขันยกน้ำหนักในระดับนานาชาติ แต่ในตอนนั้นเอง เธอก็เริ่มได้รับความเกลียดชังมากมาย และ Michael Keela ผู้อำนวยการของ Australian Weightlifting Federation ก็ได้เรียกร้องว่าชัยชนะของเธอนั้นไม่ยุติธรรม
.
ตลอด 4 ปีถัดมา เธอตกเป็นเหยื่อในการถูกล้อเลียนและแสดงออกถึงความเกลียดชังของสื่อ กลุ่มต่อต้านทรานสเจนเดอร์ คู่แข่ง และเพื่อนในวงการส่วนหนึ่ง แต่เธอเองก็ได้รับการสนับสนุนอย่างอบอุ่นจากนายกรัฐมนตรีของประเทศนิวซีแลนด์อย่าง Jacinda Ardern และคู่แข่งและเพื่อนในวงการอีกส่วนด้วยเช่นกัน
.
Laurel Hubbard ได้กลายมาเป็นประเด็นในการถกเถียงกันว่าการให้ทรานสเจนเดอร์ร่วมแข่งขันกับผู้หญิงนั้นถือว่ายุติธรรมหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะมีใบรับรองทางแพทย์แล้วว่าเธอได้ผ่านการข้ามเพศ มีบันทึกส่วนตัว ถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจากกรรมการที่มีเพศตรงตามเพศกำเนิดแล้วก็ตาม และชื่อของเธอยังถูกนำมาใช้ในข้อถกเถียงถึงประเด็นระดับของฮอร์โมนเพศชายหรือ Testosterone ในนักกีฬาหญิงว่ามีความเป็นเพศหญิงมากเกินกว่าที่จะแข่งขันหรือไม่
.
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ชื่อเดิมของ Laurel ก็ไม่ควรถูกเปิดเผยออกมาโดยเด็ดขาด
.
แม้ว่าในบทความต่างๆ เกี่ยวกับข้อถกเถียงและกฎเกณฑ์ในการยกน้ำหนัก ซึ่งมีชื่อและภาพถ่ายของ Laurel ปรากฎอยู่ด้วยนั้น จะทำให้เธอต้องเจ็บปวดและตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชังและการดูถูกเหยียดยามแล้ว แต่บทความล่าสุดจาก Daily Mail กลับร้ายแรงยิ่งกว่านั้น เพราะสำนักข่าวได้ออกตามหาเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าของเธอ และพยายามขุดคุ้ยเรื่องที่จะสามารถใช้โจมตีเธอได้
.
Daily Mail พาดหัวข่าวด้วยชื่อเก่าของ Laurel ในเครื่องหมายอัญประกาศ และใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ แถมเนื้อหาข้างในยังเรียก Laurel ด้วยสรรพนามแทนเพศชายอีกด้วย
.
ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ใครก็ตามจะต้องมาเปิดเผยชื่อเก่าของนักกีฬาหญิงรายนี้ นอกเสียจากว่าต้องการดูถูก เหยียดหยาม และกลั่นแกล้งเธอ และ Daily Mail เองก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการดูถูกชาว LGBTQ+ อยู่แล้วเป็นทุนเดิม อย่างไรก็ตาม การกระทำของ Daily Mail ที่ได้ใช้ชื่อเก่าของเหล่าดาราหรือผู้มีชื่อเสียงที่ได้เปิดตัวว่าเป็นทรานสเจนเดอร์หรือนอนไบนารี่แล้วนั้น ก็ถือว่าเป็นที่น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก
.
การเรียกด้วยชื่อเก่าถือเป็นการกระทำที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับชาวทรานสเจนเดอร์หรือนอนไบนารี่คนใดก็ตาม และนี่ก็เป็น 5 เหตุผลว่าทำไมการเรียกด้วยชื่อเก่าถึงเป็นการกระทำที่ล้าหลัง ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ และต้องถูกรื้อทิ้งไปให้หมด
.
- เป็นการแสดงออกว่าตัวตนใหม่นั้นไม่แท้จริง
ชื่อใหม่ของชาวทรานสเจนเดอร์นั้นถือเป็นชื่อจริง แม้ว่าบางครั้งการเปลี่ยนชื่อในทางกฎหมายจะไม่สามารถทำได้อย่างง่าย เพราะความยุ่งยากของกฎหมายที่ออกมาเพื่อเหยียดเพศ แต่ชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่นี้ก็ถือว่าเป็นชื่อจริง และเป็นชื่อที่ใช้แทนตัวตนของชาวทรานสเจนเดอร์คนนั้นๆ การเรียกชื่อผิดๆ ใช้สรรพนามไม่ตรงกับเพศใหม่ ล้วนแต่จะบั่นทอนและทำให้ชาวทรานสเจนเดอร์ต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนของตัวเอง
.
นอกจากนี้ยังมีดาราอีกหลายๆ คนที่เป็นที่รู้จักในชื่อใหม่ที่ตั้งด้วยตัวเอง ทั้ง Lady Gaga, Madonna, Demi Moore และ Whoopi Goldberg ซึ่งสื่อเองก็ไม่ได้ใช้ชื่อเกิดของคนเหล่านี้ในการนำเสนอข่าว และชาวทรานสเจนเดอร์เองก็ควรที่จะได้รับการนำเสนอด้วยชื่อใหม่เช่นเดียวกับบุคคลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
. - เป็นการไม่ให้เกียรติ
Laverne Cox ได้กล่าวเอาไว้ว่าการเรียกคนที่เป็นทรานสเจนเดอร์ด้วยชื่อเก่านั้น ถือเป็นการสบประมาทชาวทรานสเจนเดอร์โดยที่สุด
. - ไม่มีความจำเป็นใดๆ
เราทุกคนต่างก็รู้จักว่า Laurel Hubbard เป็นใคร และไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องรู้จักหรือเรียกเธอด้วยชื่อเก่าที่เธอได้ทอดทิ้งไปกว่า 10 ปีแล้ว
. - บั่นทอนจิตใจของชาวทรานสเจนเดอร์
ชาวทรานสเจนเดอร์มีความเสี่ยงต่อปัญหาทางสุขภาพจิตมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ตัวตนไม่ได้รับการยอมรับ การเรียกด้วยชื่อเก่าหรือสรรพนามที่ตรงเพศใหม่ จะช่วยลดความวิตกกังวล อาการซึมเศร้า และความคิดที่จะฆ่าตัวตายลงได้
.
ผลการศึกษาหนึ่งพบว่าวัยรุ่นชาวทรานสเจนเดอร์ที่ถูกเรียกด้วยชื่อใหม่มีความคิดที่จะอยากฆ่าตัวตายน้อยลง 29% และมีพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายน้อยลงถึง 56%
. - ถือเป็นการก่อกวนและล่วงละเมิด
การเรียกด้วยชื่อเก่าและการเรียกด้วยสรรพนามที่ไม่ตรงกับเพศใหม่ถูกแบนโดย Twitter เพราะถือว่าเป็นการก่อกวนและล่วงละเมิด
อ้างอิง :
https://www.pinknews.co.uk/2021/07/06/laurel-hubbard-deadnamed/
Follow ข่าวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: https://youngprideclub.com/
Facebook & Instagram & Twitter: @YoungPrideClub