ในเช้าของวันที่ 24 มีนาคม Kyle Navarro LGBTQ+ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย กำลังเตรียมตัวออกไปทำงานเหมือนทุกๆ วัน มันเป็นเหมือนช่วงเวลาปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกตุ จนกระทั่งชายคนหนึ่งกำลังเดินผ่านตัวเขา Navarro เห็นสีหน้าของชายคนนั้นชัดเจน และมันเป็นสายตาที่ไม่ดีเอาซะเลย จากนั้นไม่นานชายคนดังกล่าวก็หันกลับมาถ่มน้ำลายใส่ Navarro ก่อนจะพูดบางอย่างออกมา ซึ่งแปลความได้ว่า “ไอ้สกปรก”
.
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ Navarro และแฟนของเขาแทบจะปรี๊ดแตกออกมาในทันที แต่ด้วยความเป็นห่วงถึงความปลอดภัย เขาและคู่รักจึงต้องทำใจให้เย็นลงและตั้งสติถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “ฉันหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนคลายจากนั้นก็ดูว่าตัวเองบาดเจ็บหรืออาจแย่กว่านั้น ฉันกังวลว่าแฟนของฉันอาจจะโดนไปด้วย” Navarro กล่าว
.
เรื่องราวของ Navarro ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถี่ จนชินตาตั้งแต่การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ดูเหมือนว่าสถานการณ์การเหยียดเชื้อชาติจะแย่ลงไปทุกที ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงแต่อาชญากรรมจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติกลับมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดย Stop APPI กล่าวว่าในช่วงการระบาด มีการร้องเรียนถึงการถูกเหยียดเชื้อชาติแล้วมากกว่า 1,100 ครั้ง ระว่างวันที่ 19 มีนา – 3 เมษา และคาดว่ายังมีอีกมากที่เจอกับเหตุการณ์ลักษณะนี้แต่ยังไม่มาร้องเรียน
.
Cynthia Choi ผู้อำนวยการบริหารร่วมปฏิบัติการสิทธิที่เท่าเทียมกันของจีนกล่าวว่า จุดสนใจที่มักเป็นเป้หมายของอาชญากรรมคือผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแยกของถนน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงชาวเอเชียที่พบเจอกับเหตุการณ์เลวร้าย
.
Choi ยังกล่าวอีกว่า การแพร่ระบาดทำให้ผู้ที่มีความเปราะบางอยู่แล้วอย่างผู้อพยพหรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมากขึ้นไปอีก
.
ในขณะเดียวกันองค์กรที่สนับสนุนผู้ลี้ภัยและ LGBTQ+ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พนักงานของเขาตกเป็นเป้าหมายในการก่ออาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง มีคนมากมายที่ต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งโดนตามทำร้ายในซุปเปอร์มาเก็ตหรือน่ากลัวกว่า ถึงขั้นถือมีดตามไปถึงที่บ้านเลยก็มี นอกจากนี้การใช้ชีวิตของพวกเขาก็ต้องพบเจอกับการเหยียดและถูกเลือกปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นในชุมชนที่เขาอยู่อาศัยหรือแม้แต่ในรถขนส่งมวลชน
.
“นี่แสดงให้เห็นว่า LGBTQ+ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียน ต่างก็ได้รับผลกระทบจากหยามเหยียดและถูกเลือกปฏิบัติในช่วงที่โควิด 19 ระบาด” Glenn Magpantay ผู้อำนวยการบริหารของ NQAPIA กล่าว
.
ในอดีตเองการถูกเลือกปฏิบัติกับกลุ่ม LGBTQ+ มีให้เห็นบ่อยครั้งในช่วง ปี 2015 ผู้ที่มีรสนิยมชายรักชายถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ารับการบริจาคเลือดใดๆ ให้กับโรงพยาบาล เนื่องจากความเป็นห่วงว่าจะเกิดการแพร่เชื้อ HIV ให้กับผู้ที่ได้รับเลือด ถึงแม้ว่าก
ารตรวจหาเชื้อจะสามารถทำได้อย่างง่ายดายในเลือดของผู้บริจาค แต่นั่นไม่เป็นผล ทางการแพทย์ยังคงถือหลักการห้ามคนรักร่วมเพศต่อไป และกลายเป็นสิ่งที่ฝังใจ LGBTQ+ นับแต่นั้น
.
Hieu Nguyen ผู้ก่อตั้ง Viet Rainbow แห่ง Orange County มีมุมมองว่า การมีเชื้อชาติเอเชียและเป็น LGBTQ+ ด้วย เปรียบเสมือนกับการโดน “คำสาป” เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัย และสร้างความเสี่ยงในการใช้ชีวิตของคุณมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
.
LGBTQ+ อเมริกันที่มีเชื้อสายเอเชียได้ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกเคหสถานในช่วงการระบาดที่ผ่านมา ด้วยเกรงจะถูกทำร้ายร่างกาย หลายคนมีความวิตกกังวลต่อสายตาของผู้คน เขารู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่
.
ถึงแม้จะอยู่ในสถานกาณ์ที่เลวร้าย แต่ก็มีหลายชุมชนที่หันหน้าฝ่าวิกฤติเยียวยาเหยื่อความเกลียดชังในครั้งนี้ ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พบเจอ รวมถึงการขอความช่วยเหลือต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้ชุมชน LGBTQ+ ไม่เงียบเหงาจนเกินไป และให้รับรู้ว่าจริงๆ แล้ว พวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว
.
สำหรับ Navarro หลังจากที่พบเจอกับเรื่องร้ายแรง เขาก็ได้โพสท์เล่าเรื่องราวลงบนทวิตเตอร์ทันที ซึ่งมันทำให้เขาตกใจมากหลังจากที่มีผู้พบเห็นข้อความของเขาและส่งข้อมูลรวมทั้งให้ความช่วยเหลือ Navarro เป็นจำนวนมาก เขาได้เล่าอีกว่ามีชาวเอเชียเดินทางมาให้กำลังใจเขาอีกด้วย
.
“มันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ดีใจที่ได้เห็นอเมริกันเช้อสายเอเชียและคนผิวสีต่างยื่นความช่วยเหลือเข้ามาและกล่าวขอบคุณในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ ฉันรู้สึกว่า ฉันเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเหล่านี้มากกว่าเดิม” Navarro กล่าว
.
อ้างอิง : https://www.vice.com/en/article/y3mywy/lgbtq-asian-americans-brace-for-a-double-whammy-as-hate-crimes-rise
ภาพจาก : https://www.voanews.com/science-health/coronavirus-outbreak/asian-americans-use-social-media-mobilize-against-attacks
Follow ข่าวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่: https://youngprideclub.com/
Facebook & Instagram & Twitter: @youngprideclub